ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและสิ่งเร้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ ฝุ่นควัน สารเคมี หรือแม้แต่อาหารที่เราบริโภคเข้าไปทุกวัน ระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งควรจะเป็นปราการด่านแรกในการปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค กลับแปรสภาพจาก ‘มิตร’ ไปเป็น ‘ศัตรู’ ที่ตอบโต้ต่อสิ่งแปลกปลอมอย่างเกินกว่าเหตุ
และทั้งหมดที่เรากล่าวมานั้น ก็คือ โรคภูมิแพ้ (Allergy) นั่นเอง ภาวะที่หลายคนมองข้ามว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วมันคือปัญหาเรื้อรังที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต ทำให้นอนไม่หลับ ทำงานได้ไม่เต็มที่ และอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงอื่นๆ ได้
บทความนี้เราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโรคภูมิแพ้ สาเหตุ อาการ การป้องกันและการรับมือ เพื่อให้คุณควบคุมอาการได้อย่างอยู่หมัด วางแผนการใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ หลุดพ้นจากวงจรแห่งความทรมาน และกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นมีอิสระอีกครั้ง

โรคภูมิแพ้ คืออะไร ?
โรคภูมิแพ้ คือ ภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรงและผิดปกติ (ไวเกิน) ต่อสาร ซึ่งเราเรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) เช่น ละอองเกสรดอกไม้ ฝุ่น ไรฝุ่น ขนสัตว์ อาหารบางชนิด หรือยาบางประเภท โดยแทนที่ระบบภูมิคุ้มกันจะละเลยหรือตอบสนองเพียงเล็กน้อย กลับเข้าใจผิดว่าสารเหล่านี้เป็นภัยคุกคาม จึงผลิตสารเคมี เช่น ฮิสตามีน ออกมาต่อสู้ ทำให้เกิดอาการแสดงในอวัยวะต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น การเกิดผื่นคันที่ผิวหนัง, ระบบทางเดินหายใจ (จาม คัดจมูก หอบหืด) หรือระบบทางเดินอาหาร (คลื่นไส้ ท้องเสีย) ซึ่งความไม่ซ้ำใครของโรคนี้ คือ การตอบสนองที่จำเพาะเจาะจงต่อสารบางอย่างในแต่ละบุคคล แม้จะเป็นสารที่คนอื่นสัมผัสได้อย่างไม่มีปัญหาเลยก็ตาม
สาเหตุของโรคภูมิแพ้
ลองจินตนาการถึงเช้าวันใหม่ที่คุณต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการจามถี่ๆ น้ำมูกไหลไม่หยุด หรือมีผื่นคันขึ้นตามผิวหนังโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณอาจคิดว่ามันคือไข้หวัดธรรมดา แต่เมื่ออาการเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ทุกครั้งที่สัมผัสกับ “สิ่งกระตุ้น” บางอย่าง นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ระบบภูมิคุ้มกันของคุณกำลังส่งเสียงเตือนอย่างผิดปกติ และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ไรฝุ่นหรือละอองเกสรที่เราคุ้นเคยเท่านั้น แต่ยังมีสาเหตุอื่นๆ ดังนี้
- พันธุกรรม
พันธุกรรมไม่ใช่การถ่ายทอดโรคโดยตรง แต่เป็นแนวโน้มที่เพิ่มโอกาสในการที่ระบบภูมิคุ้มกันจะไวต่อสิ่งเร้า (เรียกว่าภาวะภูมิไวเกิน หรือ Atopy) ตัวอย่างเช่น หากบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ บุตรจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้สูงขึ้น และถ้าหากทั้งบิดาและมารดาเป็นโรคภูมิแพ้ โอกาสก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก เป็นต้น

- สิ่งแวดล้อม
ปัจจัยแวดล้อมมีผลอย่างมากต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ โดยมี “สมมติฐานสุขอนามัย” เสนอว่า ความสะอาดที่มากเกินไปในวัยเด็ก ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันขาดการกระตุ้นจากเชื้อโรคและจุลินทรีย์ จึงหันมาตอบสนองผิดปกติกับสารไม่เป็นอันตราย เช่น ละอองเกสร
นอกจากนี้ มลภาวะ ควันบุหรี่ และการใช้ยาปฏิชีวนะตั้งแต่เนิ่นๆ ยังส่งผลเสียต่อสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ (Microbiome) ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งหมดนี้ล้วนเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของโรคภูมิแพ้ในปัจจุบัน
- สารก่อภูมิแพ้
สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) คือ ตัวกระตุ้นภายนอก ส่วนใหญ่มักเป็นโปรตีนขนาดเล็กที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างอิมมูโนโกลบูลินอี (IgE) ขึ้นมา ซึ่งเป็นสาเหตุของปฏิกิริยาภูมิแพ้จริง
สารก่อภูมิแพ้เหล่านี้มีหลากหลายประเภทและเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ (ไรฝุ่น ละอองเกสร) จากอาหาร (นม ถั่ว) จากการสัมผัส (นิกเกิล ยางพารา) หรือจากแมลงกัดต่อย (พิษผึ้ง) เมื่อระบบภูมิคุ้มกันรู้จักและตอบสนองต่อโครงสร้างโปรตีนเหล่านี้ จะเกิดกลไกที่ทำให้มีการหลั่งสารเคมีออกมา จนแสดงอาการต่างๆ ของโรคภูมิแพ้ในที่สุด
อาการของโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย
โรคภูมิแพ้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภูมิแพ้ผิวหนัง ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ หรือภูมิแพ้ทางเดินอาหาร ล้วนมีสาเหตุพื้นฐานมาจากกลไกเดียวกันทั้งสิ้น นั่นคือ ระบบภูมิคุ้มกันมีปฏิกิริยาไวเกินต่อสารที่ปกติแล้วไม่เป็นอันตราย (สารก่อภูมิแพ้) ซึ่งกลไกนี้ชี้ให้เห็นว่าโรคเหล่านี้เป็น “โรคเดียวกัน” แต่ภูมิแพ้ อาการจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ เช่น

1. ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ :
มาเริ่มกันที่ภูมิแพ้อากาศกันก่อน ซึ่งภูมิแพ้อากาศหรือโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองไวเกินไปต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น หรือละอองเกสร ทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก
อาการหลักที่รบกวนชีวิตประจำวันและมักเป็นเรื้อรัง คือ จาม คันตา คันจมูก น้ำมูกไหล และคัดจมูก ซึ่งอาการเหล่านี้จะกำเริบเมื่อสัมผัสสารที่แพ้ สามารถบรรเทาได้ด้วยการ หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ การใช้ยาต้านฮิสตามีน หรือการล้างจมูก เพื่อชะล้างสารก่อภูมิแพ้และลดอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูก
นอกจากนี้ ภาวะภูมิแพ้อากาศยังมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับโรคหอบหืด ซึ่งเป็นภาวะอักเสบเรื้อรังของทางเดินหายใจส่วนล่างที่ทำให้หลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้นเดียวกัน เช่น สารก่อภูมิแพ้ หรือควันบุหรี่ เมื่อหลอดลมถูกกระตุ้น กล้ามเนื้อรอบๆ จะหดเกร็ง ผนังหลอดลมจะบวม และมีเสมหะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลงอย่างรวดเร็ว
อาการสำคัญของหอบหืด คือ หายใจลำบาก หรือมีเสียงหวีด (Wheezing) แน่นหน้าอก และไอ โดยเฉพาะเวลากลางคืนหรือเช้ามืด ความรุนแรงของอาการสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และจำเป็นต้องได้รับการควบคุมด้วยยาอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการกำเริบที่อาจเป็นอันตรายร้ายแรง
ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้อากาศจึงควรใส่ใจและหมั่นสังเกตอาการของโรคหอบหืดควบคู่ไปด้วย เนื่องจากสารก่อภูมิแพ้เดียวกันที่ก่อปัญหาในจมูกก็สามารถกระตุ้นอาการที่ปอดได้เช่นกัน

2. ภูมิแพ้ทางผิวหนัง :
อาทิ ลมพิษ (Urticaria) ซึ่งลมพิษ (Urticaria) คือ ปฏิกิริยาทางผิวหนังที่เกิดจากการหลั่งสารฮิสตามีนอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดผื่นนูนแดงหรือขาวที่มีขอบเขตชัดเจนและคัน (เรียกว่า Wheals) ซึ่งมักจะปรากฏและหายไปอย่างรวดเร็วและสามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้บ่อยครั้ง
สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการแพ้ (เช่น อาหาร ยา หรือสารก่อภูมิแพ้) หรือปัจจัยทางกายภาพ (เช่น ความร้อน ความเย็น หรือความเครียด)
การรักษาเบื้องต้น คือ การใช้ยาแอนติฮิสตามีนเพื่อบรรเทาอาการ แต่หากมีอาการรุนแรง เช่น บวมที่ใบหน้าหรือปาก (Angioedema) ควรรีบพบแพทย์ทันที
วิธีป้องกันโรคภูมิแพ้อย่างถูกวิธี
การป้องกันโรคภูมิแพ้เป็นแนวทางเชิงรุกที่สำคัญที่สุดในการควบคุมอาการและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ที่เป็นโรคนี้

- ทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดแหล่งสะสมเชื้อ
การควบคุมโรคภูมิแพ้ในที่พักอาศัยต้องเริ่มต้นที่การจำกัดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ที่มองไม่เห็น โดยเฉพาะไรฝุ่นและรังแคสัตว์เลี้ยง ซึ่งการทำความสะอาดแบบผิวเผินไม่เพียงพอ ควรเน้นการใช้ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนกันไรฝุ่น การซักผ้าปูที่นอนด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเป็นประจำ
และการใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (HEPA Filter) เพื่อดักจับอนุภาคขนาดเล็ก ไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจายในอากาศ นอกจากนี้ การกำจัดพรม ผ้าม่านหนาๆ หรือของตกแต่งที่สะสมฝุ่นก็เป็นส่วนสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปราศจากสารกระตุ้น
- จัดการกับความชื้นเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรา
เชื้อราและยีสต์เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาวะที่อับชื้น โดยเฉพาะในห้องน้ำ ห้องครัว และชั้นใต้ดิน ซึ่งคุณสามารถกำจัดเชื้อราและยีสต์ได้โดยการใช้เครื่องลดความชื้น การติดตั้งพัดลมระบายอากาศในห้องน้ำ และการซ่อมแซมจุดที่มีน้ำรั่วซึมอย่างรวดเร็ว การจัดการความชื้นไม่เพียงแต่ช่วยลดเชื้อราเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการแพร่พันธุ์ของไรฝุ่นซึ่งต้องการความชื้นสูงในการดำรงชีวิตด้วย

- เลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ในอาหารอย่างเข้มงวด
สำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้อาหาร การป้องกันที่ได้ผลที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ (เช่น นมวัว ถั่วลิสง อาหารทะเล หรือกลูเตน) อย่างเคร่งครัด ควรฝึกอ่านฉลากโภชนาการอย่างละเอียดเพื่อระบุส่วนผสมที่อาจปนเปื้อน และระมัดระวังการรับประทานอาหารนอกบ้านที่มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน เป็นต้น
- เลี่ยงควันบุหรี่และมลภาวะทางอากาศภายนอก
การสัมผัสกับควันบุหรี่มือสอง และมลภาวะทางอากาศ เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในทางเดินหายใจอย่างรุนแรง และทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบหรือแย่ลง การป้องกันทำได้โดยการสร้างพื้นที่ปลอดบุหรี่ภายในบ้านหรือรถยนต์ และการติดตามคุณภาพอากาศภายนอก ในวันที่ค่าฝุ่นสูงควรจำกัดการทำกิจกรรมนอกอาคาร หรือใช้หน้ากาก N95 รวมถึงการพิจารณาใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพในห้องนอนเพื่อช่วยลดสารระคายเคืองที่มองไม่เห็น

- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นวิธีที่ช่วยชะล้างสารก่อภูมิแพ้ (เช่น ละอองเกสร หรือฝุ่น) และเมือกที่สะสมอยู่ในโพรงจมูก วิธีนี้จะช่วยให้รู้สึกสบายจมูกขึ้น และช่วยลดการสะสมของสารระคายเคือง ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกและลดการอักเสบได้
- ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการประเมินและการรักษาเฉพาะทาง
การป้องกันที่ครอบคลุมที่สุด คือ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้ เพื่อวินิจฉัยหาสารก่อภูมิแพ้
คำถามพบบ่อย (FAQ)
| จะรู้ได้ไงว่าตัวเองเป็นภูมิแพ้ ? | สัญญาณบ่งบอกว่าคุณอาจเป็นภูมิแพ้ (Allergy) คือ การที่ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองผิดปกติต่อสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เป็น อาทิ มีอาการคล้ายหวัดแต่เป็นนานและเป็นซ้ำๆ เช่น คัดจมูก น้ำมูกใส จามบ่อย โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ |
| โรคภูมิแพ้ เป็นโรคประจําตัวไหม ? | โรคภูมิแพ้ถือเป็นโรคประจำตัวได้ เนื่องจากเป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ที่ปกติไม่เป็นอันตราย ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ทำให้เป็นภาวะที่อยู่กับผู้ป่วยเป็นระยะเวลานานหรือตลอดชีวิต |
| โรคภูมิแพ้รักษาหายขาดได้ไหม ? | แม้ว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์จะช่วยให้เราสามารถวินิจฉัยและควบคุมอาการภูมิแพ้ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่โดยหลักการแล้ว โรคภูมิแพ้จัดเป็นภาวะเรื้อรังที่ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้อย่างถาวร แต่ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาเพื่อควบคุมอาการให้สงบลงอย่างมีนัยสำคัญจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุข |
บทสรุป
จะเห็นได้ว่า การรู้เท่าทันและเข้าใจกลไกของโรคภูมิแพ้จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับอาการ ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เพื่อนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
ทั้งนี้ หากคุณสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดเป็นโรคภูมิแพ้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก :
โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์แนชั่นแนล อ้อมน้อย [https://vichaivej-omnoi.com/health-info/โรคภูมิแพ้คืออะไร-ทำไมถ]
โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ [https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/608]
สถานีโทรทัศน์รามาแชนแนล [https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/โรคภูมิแพ้นั้นรักษาไม่/]
โรงพยาบาลพญาไท [https://www.phyathai.com/th/article/3409-โรคภูมิแพ้ดีขึ้นได้_เม?srsltid=AfmBOorVuGXcbjpJ_R2vgXen9P-STi3Ase38_ULrYojtDB7_74vOQCTB]





