เด็กเล็กและทุกคนในครอบครัว

6 โรคที่มากับหน้าหนาว พร้อมวิธีป้องกันสำหรับทุกวัย

โรคที่มากับหน้าหนาว

เมื่ออุณหภูมิเริ่มลดต่ำลง การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนี้ไม่เพียงแต่นำพาความเย็นสบายมาให้ แต่ยังพ่วงโรคต่างๆ มาอีกด้วย ซึ่งโรคที่เกิดในฤดูหนาวมักจะระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว การรับมือกับโรคเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการรักษา แต่คือการป้องกันอย่างเข้าใจ

ฉะนั้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 6 โรคที่มากับหน้าหนาว ตั้งแต่โรคระบบทางเดินหายใจยอดฮิตอย่างไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม ไปจนถึงโรคทางเดินอาหารและปัญหาผิวหนังที่แห้งแตก เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวพร้อมรับมือกับความหนาวเย็นได้อย่างมั่นใจและมีสุขภาพดีตลอดฤดู !


เช็กลิสต์ 6 โรคที่มากับหน้าหนาว รู้ก่อน ป้องกันได้ก่อน !

ในพารากราฟนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึก 6 ภัยเงียบทางสุขภาพที่มักมาเยือนพร้อมกับฤดูหนาว เพื่อให้คุณรู้เท่าทัน พร้อมสร้างเกราะป้องกันสุขภาพให้แข็งแรงตลอดฤดูกาล

โรคที่มากับหน้าหนาว | ปอดบวม

1. ปอดบวม

ปอดบวม คือ ภาวะที่ปอดเกิดการอักเสบ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เมื่อปอดอักเสบแล้ว จะทำให้มีหนองและของเหลวอื่นๆ สะสมอยู่ในถุงลมเล็กๆ ภายในปอด เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยมีอาการไอ มีเสมหะ และรู้สึกแน่นหน้าอกจนหายใจลำบากหรือหายใจไม่อิ่ม นอกจากนี้ยังอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คัดจมูก มีไข้ และหนาวสั่นอย่างรุนแรง

ทั้งนี้ อาการปอดบวมมักพบหลังจากการเป็นไข้หรือไข้หวัดใหญ่เรื้อรัง และจะมีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับทางเดินหายใจอยู่แล้ว เช่น โรคหอบหืด

วิธีการป้องกันปอดบวม :

การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงภายนอก เช่น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับควันทุกชนิด โดยเฉพาะควันบุหรี่ (ทั้งจากการสูบเองและควันมือสอง) หรือควันไฟต่างๆ เนื่องจากมลพิษเหล่านี้จะทำลายเนื้อเยื่อปอดและลดความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรค

ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีผู้คนหนาแน่น หรือสถานที่แออัดเป็นเวลานาน เพื่อลดโอกาสการรับและแพร่กระจายเชื้อโรคทางเดินหายใจ

การดูแลร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย

ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นและมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพร้อมต่อสู้กับเชื้อโรคอยู่เสมอ

โรคที่มากับหน้าหนาว |

2. ไข้หวัด

โรคไข้หวัด เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่พบบ่อยที่สุดในฤดูหนาว สาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสหวัดซึ่งมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ (หลายร้อยชนิด) เชื้อเหล่านี้สามารถแพร่กระจายและติดต่อกันได้ง่ายผ่านการหายใจเอาละอองฝอยในอากาศเข้าไป

อาการของไข้หวัด คือ มีไข้ (มักไม่สูงนัก), ไอ, จาม, คัดจมูก หรือน้ำมูกไหล และมีอาการระคายคอ โดยส่วนใหญ่แล้ว อาการเหล่านี้จะสามารถหายได้เองตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย ภายในระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ และมักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมา

วิธีการป้องกันไข้หวัด :

ให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ด้วยการนอนหลับที่มีคุณภาพและเพียงพอ เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมากเกินความจำเป็น รวมถึงการออกกำลังกายที่หักโหมในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ เพราะอาจทำให้ร่างกายยิ่งอ่อนล้าและเปิดรับเชื้อได้ง่ายขึ้น

ดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดวัน โดยเน้นน้ำอุ่น และควรเลือกเครื่องดื่มที่มีวิตามินซีสูง (เช่น น้ำผลไม้รสเปรี้ยว) เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและรักษาความชุ่มชื้นของทางเดินหายใจ

ทำความสะอาดช่องทางเดินหายใจเป็นประจำ ด้วยการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เพื่อชะล้างเมือก สารก่อภูมิแพ้ และเชื้อโรคที่อาจสะสมอยู่ในโพรงจมูก ซึ่งเป็นด่านแรกของการติดเชื้อ

โรคที่มากับหน้าหนาว | ไข้หวัดใหญ่

3. ไข้หวัดใหญ่

โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่พบบ่อยและมีการระบาดได้ง่ายเป็นพิเศษในช่วงฤดูหนาว โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลักๆ คือ

  • ชนิดเอ (Type A) : เป็นชนิดที่พบได้ทั้งในคนและสัตว์ ทำให้เกิดอาการป่วยที่รุนแรง และเป็นสาเหตุของการระบาดใหญ่ หรือการแพร่กระจายเป็นวงกว้างได้ง่ายที่สุด
  • ชนิดบี (Type B) : พบได้เฉพาะในคน มักก่อให้เกิดอาการที่ไม่รุนแรงเท่าชนิดเอ
  • ชนิดซี (Type C) : พบน้อยมากและมักก่อให้เกิดอาการป่วยที่ไม่รุนแรงในวงจำกัด

ทั้งนี้ เมื่อติดเชื้อไข้หวัดใหญ่แล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการที่รุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา คือ มีไข้สูงเฉียบพลัน ร่วมกับอาการหนาวสั่นอย่างมาก และมีอาการปวดทั่วร่างกาย เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและปวดศีรษะอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เจ็บคอ และในบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนได้

วิธีการป้องกันไข้หวัดใหญ่ :

เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและลดความรุนแรงของอาการ

รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด ด้วยการหมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้เจลแอลกอฮอล์เพื่อฆ่าเชื้อโรค

หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว หรือช้อนส้อม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคผ่านทางสารคัดหลั่งและละอองฝอย

โรคที่มากับหน้าหนาว |อุจจาระร่วงในเด็กเล็ก

4. อุจจาระร่วงในเด็กเล็ก

โรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า เป็นโรคที่มักพบบ่อยในช่วงฤดูหนาวและเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยในเด็กเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี และพบมากที่สุดในเด็กวัย 6 – 12 เดือน เนื่องจากเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติยังต่ำ และเด็กในวัยนี้มักมีพฤติกรรมการสำรวจโลกด้วยการหยิบสิ่งของเข้าปาก ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรับเชื้อ

อาการที่แสดงออก คือ มีไข้, ถ่ายเหลวบ่อยครั้ง และอาเจียนอย่างรุนแรง อาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งภาวะขาดน้ำนี้อาจทำให้เกิดอาการช็อกและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้น หากบุตรหลานมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

วิธีการป้องกันอุจจาระร่วงในเด็กเล็ก :

เน้นการให้นมแม่ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด เพราะนมแม่มีความสะอาด ปลอดภัย อุดมไปด้วยสารอาหาร ภูมิคุ้มกัน รวมถึงแอนติบอดีที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค และลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี

สุขอนามัยอาหารและน้ำดื่ม ควรให้เด็กเล็กรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ หลีกเลี่ยงอาหารที่วางทิ้งไว้นานหรืออาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ และต้องมั่นใจว่าเด็กได้ดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำ เพื่อลดโอกาสการได้รับเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับอาหารและน้ำ

การดูแลภาวะขาดน้ำ หากเด็กมีอาการท้องเสียแล้ว ให้ดูแลโดยการให้อาหารเหลวหรือสารน้ำทดแทนแก่เด็ก (เช่น น้ำสะอาด, น้ำเกลือแร่) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย

สุขอนามัยของผู้ดูแล ผู้ดูแลเด็กควรให้ความสำคัญกับการรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ โดยต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนเตรียมหรือป้อนอาหาร รวมถึงหลังการใช้ห้องน้ำหรือสัมผัสกับสิ่งสกปรก เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อโรคไปสู่เด็ก

โรคที่มากับหน้าหนาว |โรคสุกใส

5. โรคสุกใส

โรคสุกใสเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบบ่อยในช่วงอากาศเย็น โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 10-20 วัน นับตั้งแต่ได้รับเชื้อ อาการเริ่มต้นจะคล้ายไข้หวัด คือ มีไข้ต่ำๆ, เบื่ออาหาร, อ่อนเพลีย, ปวดเมื่อยตามร่างกาย และจะมีผื่นเกิดขึ้นพร้อมๆ กับวันที่มีไข้ หรือหลังจากที่มีไข้ 1 วัน ซึ่งระยะของผื่นจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ดังนี้

  • ระยะเริ่มต้น : ผื่นจะเริ่มเป็นรอยแดงราบ
  • ระยะพัฒนา : รอยแดงจะกลายเป็นตุ่มนูน และพัฒนาอย่างรวดเร็วเป็นตุ่มน้ำใสๆ ที่มีอาการคันร่วมด้วย

วิธีการป้องกันโรคสุกใส :

ดูแลให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และรักษาอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อไวรัส

ควรล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค

สำหรับผู้ที่มีอาการคันอย่างรุนแรงจากผื่นสุกใส ไม่ควรซื้อยามาทาเอง แต่ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อรับยาที่เหมาะสมและปลอดภัย

เด็กเล็กควรตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเกาจนเกิดแผลติดเชื้อ หรือเกิดรอยแผลเป็นตามมาได้

โรคที่มากับหน้าหนาว | ผิวหนังแห้ง

6. ผิวหนังแห้ง

เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว สิ่งที่เรามักเผชิญ คือ ภาวะผิวหนังแห้ง เนื่องจากความชื้นในอากาศลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้ความชื้นตามธรรมชาติของผิวหนังพลอยลดลงตามไปด้วย ทำให้ผิวมีอาการแห้งตึง, ลอกเป็นขุย และคันได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยง

  • ผู้สูงอายุ : มักจะมีภาวะผิวแห้งเป็นปกติอยู่แล้ว และต่อมไขมันที่สร้างน้ำมันมาเคลือบผิวก็ทำงานลดลงตามวัย
  • ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนัง : ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหากปล่อยให้ผิวแห้งและคันนานๆ จะกระตุ้นให้อาการของโรคกำเริบและนำไปสู่ภาวะผิวหนังอักเสบได้ในที่สุด

วิธีการป้องกันผิวหนังแห้ง :

✅ ไม่ควรอาบน้ำนานเกินไป หรือแช่น้ำอุ่นจัดเป็นเวลานาน เนื่องจากจะชะล้างไขมันตามธรรมชาติที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวออกไป

✅ ควรเลือกใช้สบู่อ่อนโยนที่มีค่า pH เป็นกลาง และหลีกเลี่ยงการขัดถูผิวอย่างรุนแรง เพราะการกระทำเหล่านี้จะยิ่งทำลายเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier)

✅ ทาโลชั่นหรือมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวทันที ในขณะที่ผิวยังคงมีความหมาด (ภายใน 3-5 นาทีหลังเช็ดตัว) เพื่อกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้นไว้ในชั้นผิว

✅ ควรทาลิปมันเป็นประจำ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและป้องกันภาวะปากแห้งแตก


คำถามพบบ่อย (FAQ)

ทำไมหน้าหนาวป่วยง่าย ?เมื่อเผชิญกับสภาพอากาศที่หนาวเย็น ร่างกายของเราจะเริ่มกระบวนการสูญเสียความร้อนภายในร่างกายและทำให้เลือดไหลเวียนช้าลง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันลดประสิทธิภาพการทำงานลงนั่นเอง
รู้ได้ไงว่าเป็นภูมิแพ้อากาศ ?หากคุณมีอาการเหล่านี้ แสดงว่าคุณเป็นภูมิแพ้อากาศแน่นอน
จามบ่อย โดยเฉพาะในช่วงเช้า หรือเมื่อเจออากาศเย็น และฝุ่นคัดจมูก อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างน้ำมูกไหล มักเป็นน้ำมูกใสๆคันจมูกคันตา แสบตา น้ำตาไหล บางครั้งอาจมีตาแดง หนังตาบวมคันคอ คันเพดานปาก หรือคันหูมีเสมหะไหลลงคอ ทำให้รู้สึกระคายคอ ไอเรื้อรังอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ จากการนอนหลับไม่สนิทเนื่องจากคัดจมูก
โรคประจําฤดูหนาวมีอะไรบ้าง ?โรคประจําฤดูหนาว มีหลักๆ ดังนี้ ปอดบวม, ไข้หวัด, ไข้หวัดใหญ่, อุจจาระร่วงในเด็กเล็ก, โรคสุกใส และผิวหนังแห้ง

บทสรุป

จะเห็นได้ว่า หัวใจของการฝ่าฟันวิกฤตฤดูหนาวให้สำเร็จ คือ การมีแผนป้องกันที่ครบวงจรและนำไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เริ่มต้นด้วยสุขอนามัยพื้นฐาน เช่น การล้างมือบ่อยๆ และการสวมหน้ากากในพื้นที่แออัด พร้อมทั้งเสริมเกราะป้องกันด้วยวัคซีนที่จำเป็น (โดยเฉพาะวัคซีนไข้หวัดใหญ่)

เมื่อเราไม่ประมาทและใส่ใจในมาตรการเหล่านี้ ฤดูหนาวก็จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ความอบอุ่น และปราศจากความกังวลเรื่องสุขภาพได้อย่างแท้จริง

ขอบคุณข้อมูลจาก : 

โรงพยาบาลบางปะกอก 1

โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต

โรงพยาบาลเพชรเวช

แนะนำบทความอื่นๆ

สุขภาพโพรงจมูกและทางเดินหายใจ

“ขี้มูกแห้ง” ปัญหากวนใจที่ไม่ควรมองข้าม พร้อมเคล็ดลับดูแลจมูกให้ชุ่มชื้นหายใจโล่ง

สุขภาพโพรงจมูกและทางเดินหายใจ

จมูกแห้ง คอแห้ง เกิดจากอะไร ?  รวมสาเหตุและวิธีดูแลให้หายโล่งสบาย

เด็กเล็กและทุกคนในครอบครัว

โรคภูมิแพ้คืออะไร ? รวมสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันอย่างถูกวิธี

สุขภาพโพรงจมูกและทางเดินหายใจ

ข้อดีของการล้างจมูกทุกวัน ช่วยเรื่องสุขภาพทางเดินหายใจอย่างไรบ้าง ?

สุขภาพโพรงจมูกและทางเดินหายใจ

ทำความรู้จักกับโรคทางเดินหายใจในเด็ก

สุขภาพโพรงจมูกและทางเดินหายใจ

เช็กสุขภาพจากน้ำมูก ! สีของน้ำมูกบอกโรคอะไรได้บ้าง ?

ค้นหา